วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ผังเมือง




แหล่งที่มา http://www.asa.or.th/?q=node/275

แผนที่โรงงานสารเคมี




บทนำ
อุบัติภัยที่เกิดจากสารเคมีและวัตถุอันตราย เช่น การระเบิด การเกิดเพลิงไหม้และการหกรั่วไหลของสารเคมีอาจเกิดขึ้นได้ในทุกขั้นตอนการปฏิบัติตั้งแต่การใช้ การ ผลิต การขนส่ง การจัดเก็บ และการซ่อมบำรุงเครื่องจักร ซึ่งอุบัติภัยร้ายแรงในแต่ละครั้ง ทำให้เกิดความสูญเสียอย่างมหาศาลต่อชีวิต ทรัพย์สิน และสิ่งแวดล้อม การระงับอุบัติภัยจากสารเคมีและวัตถุอันตรายเป็นสิ่งสำคัญ และเป็นภารกิจตามบทบาทหน้าที่ของแต่ละหน่วยงาน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการจัดสรรทรัพยากรบุคคล อุปกรณ์ เครื่องมือและทรัพยากรอื่นๆที่จำเป็นในการระงับภัย ทั้งจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน รวมทั้งการประสานงานการร่วมมืออย่างเป็นระบบ ในอันที่จะสามารถลด และบรรเทาความเสียหายที่เกิดขึ้นให้น้อยที่สุด เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อชีวิต ทรัพย์สิน และสิ่งแวดล้อม

อุบัติภัยที่เกิดจากสารเคมีในแต่ละครั้งที่เกิดขึ้นมักจะมีความรุนแรงก่อให้เกิดการสูญเสียทรัพย์สิน และชีวิตของประชาชนเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะการก่อให้เกิดผลเสียระยะยาวต่อสุขภาพของประชาชนและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัญหาดังกล่าวจะสามารถลดความรุนแรงและความเสียหายได้หากสามารถวางแผนป้องกันและการบรรเทาภัยอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ

คู่มือการใช้โปรแกรม Quantum GIS

คู่มือการใช้โปรแกรม Quantum GIS
1. Quantum GIS คืออะไร
Quantum GIS หรือ QGIS เป็นโปรแกรม Desktop GIS ประเภทหนึ่งที่มีประสิทธิภาพในการนามาใช้จัดการข้อมูลปริภูมิ จัดอยู่ในกลุ่มซอฟต์แวร์รหัสเปิด (Free and Open Source Software: FOSS) ที่ใช้งานง่าย ลักษณะการใช้งานเป็นแบบ Graphic User Interface ซึ่งสะดวกต่อการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการเรียกใช้ข้อมูลภาพ ข้อมูลตาราง การแสดงผลตาราง การแสดงผลกราฟ ตลอดจนสามารถสืบค้นข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลและนาเสนอข้อมูลได้ในรูปแบบแผนที่ที่สวยงาม
ในปี คศ. 2002 กลุ่มนักพัฒนาจากประเทศเยอรมันได้พัฒนา Desktop GIS ชื่อว่า Quantum GIS ที่ สามารถเรียกใช้ข้อมูลเวกเตอร์ แรสเตอร์ ในรูปแบบที่เป็นมาตรฐานแพร่หลาย เช่น Shapefile และ GeoTIFF QGIS สามารถแก้ไข Shape File format ได้ซึ่งเป็นที่ต้องการมากในเวลานี้ QGIS พัฒนาบนพื้นฐานของ Qt ที่เป็นไลบรารี่สาหรับ Graphical User Interface (GUI) ที่ใช้งานได้ทั้ง UNIX, Window และ Mac การพัฒนาใช้ภาษา C++ เป็นหลักนอกจากนั้น QGIS ยังเชื่อมต่อกับ Geospatial RDBMS เช่น PostGIS/PostgreSQL สามารถอ่านและเขียนฟีเจอร์ที่จัดเก็บใน PostGIS ได้โดยตรง สามารถเชื่อมต่อกับ GRASS ได้ทาให้สามารถเรียกดูข้อมูลที่จัดเก็บใน GRASS โดยตรง และสามารถเรียกใช้ฟังก์ชันต่างๆของ GRASS ได้ สนับสนุนการวิเคราะห์เชิงพื้นที่ (Spatial Analysis) ในเบื้องต้นและการแสดงผลข้อมูลเชิงตาแหน่งในรูปแบบของแผนที่ การสร้างและการแก้ไขข้อมูลเชิงตาแหน่ง (Spatial Data) และข้อมูลตาราง (Attribute Data) สามารถจัดการข้อมูลได้ง่ายโดยใช้เครื่องมือตาม GUI ที่กาหนด
รูปที่ 1 หน้าจอการทางานของโปรแกรม Quantum GIS
2. Graphical User Interface
GUI ประกอบด้วย Menu Bar, Tools Bar, Legend, Overview, Map Display, Map Coordinate, Map Scale และ Project Properties ซึ่งทุกรายการนี้สามารถเคลื่อนย้าย เปลี่ยนขนาดตามความเหมาะสมต่อการใช้งานเพื่ออานวยความสะดวกของผู้ใช้
3. การติดตั้งโปรแกรม Quantum GIS
1. ทาการ Download โปรแกรม Quantum GIS จาก URL http://qgis.org/
2. Double click ไฟล์ QGIS-1.0.0preview2-Setup.exe เพื่อทาการติดตั้งโปรแกรม ซึ่งลักษณะขั้นตอนการติดตั้งนั้นไม่ยุ่งยากซับซ้อน คือสามารถกดปุ่ม Next เพื่อติดตั้งได้ตามปกติคล้ายกับการติดตั้งซอฟต์แวร์ฟรีทั่วๆไป
3. ทดลองรันโปรแกรม Quantum GIS โดยเข้าไปที่ Start -> Program -> Quantum GIS
รูปที่ 2 การเรียกใช้งานโปรแกรม Quantum GIS
Menu Bar
Overview
Legend
Map Display
Project Properties
Tools Bar
Map Coordinate at mouse cursor position
Current Map Scale
4. การใช้งานโปรแกรม (Menu bar)
การเรียกดูชั้นข้อมูลปริภูมิ
Menu Bar Description
5. เครื่องมือการทางาน (Toolbars)
6. การนาเข้าข้อมูล Shape file
กดปุ่ม บนเครื่องมือ Toolbars เพื่อเลือกชั้นข้อมูลที่ต้องการมาแสดงผลบน Map Display ซึ่งชื่อของชั้นข้อมูลที่ต้องการจะปรากฏในช่อง File Name จากนั้นกดปุ่ม Open เพื่อยืนยันการเลือกข้อมูลที่ต้องการนาเข้า
รูปที่ 3 แสดง Open an OGR Supported Vector Layer
สร้าง New Project
เพิ่มชั้นข้อมูลปริภูมิในรูปแบบต่างๆ
เปิด Project ที่บันทึกไว้
เพิ่มชั้นข้อมูลในรูปแบบ Vector Data
ปุ่มเครื่องมือที่ใช้ในการจัดการข้อมูล Vector
ปุ่มเครื่องมือในการแสดงผล
เครื่องมือในการคานวณ
รูปแบบข้อมูลที่โปรแกรม Quantum GIS รองรับ
รูปที่ 4 แสดงหน้าจอแสดงผลข้อมูล Shape File
เมื่อมีชั้นข้อมูล (Layer) อยู่ใน Legend ผู้ใช้สามารถที่จะสั่งให้แสดงผลหรือซ่อน Layer เหล่านั้นหรือสั่งให้ Layer ใดๆ แสดงผลเพื่อที่จะทาการจัดการข้อมูลและสามารถเปลี่ยนลาดับการแสดงผลของแต่ละ Layer ในการสั่งให้แสดงผลของแต่ละ Layer ใน Map Display นั้นสามารถทาได้โดยการคลิกบน Check Box ข้างหน้าของแต่ละ Layer และสามารถคลิกอีกครั้งเพื่อเอาเครื่องหมายกากบาทออก เป็นการยกเลิกการแสดงผลของ Layer นั้นๆบน Map Display
7. การสร้างข้อมูล Shape file
กดปุ่ม บนเครื่องมือ Toolbars เพื่อสร้างชั้นข้อมูลใหม่ในรูปแบบของ Vector (Point, Line, Polygon)
รูปที่ 5 แสดง New Vector Layer
Check Box
เครื่องหมายกากบาท
- เลือกประเภทข้อมูล Vector ที่ต้องการ(Format Type)
- ตั้งชื่อชั้นข้อมูล (Layer Name)
- กาหนดรายละเอียดของข้อมูลอรรถาธิบาย (Attribute Data) และชนิดของชั้นข้อมูล (Data Type) ในแต่ละ Columns
- ทาการบันทึกชั้นข้อมูลดังกล่าวภายใน Folder ที่ต้องการ จากการกดปุ่ม Save
รูปที่ 6 แสดงหน้าจอการบันทึกข้อมูล
- กดปุ่ม เพื่อเริ่มสร้างชั้นข้อมูล หรือผู้ใช้บางท่านจะรู้จักเครื่องมือนี้ในชื่อว่า Start Editing และ Stop Editing
- เลือกรูปแบบการสร้างข้อมูล Vector ซึ่งจะสอดคล้องกับประเภทข้อมูลที่กาหนดไว้ใน New Vector Layer
- เมื่อทาการระบุตาแหน่งของข้อมูลได้แล้ว โปรแกรมจะให้กรอกข้อมูลอรรถาธิบายตามโครงสร้างที่ได้กาหนดไว้แล้วใน New Vector Layer
รูปที่ 7 แสดงการบันทึกข้อมูลอรรถาธิบาย (Enter Attribute Value)
- หลังจากสิ้นสุดการทางานแล้วกดปุ่ม เพื่อยืนยันการแก้ไขข้อมูลก่อนที่จะบันทึกลงใน Folder ที่ได้กาหนดไว้
รูปที่ 8 แสดงการยืนยันเพื่อบันทึกการแก้ไขข้อมูล
8. การนาเข้าชั้นข้อมูลจากระบบฐานข้อมูล PostgreSQL
กดปุ่ม เพื่อกาหนดการเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลโดยระบุเงื่อนไข (Creating a stored Connection)
รูปที่ 9 แสดงการเริ่มต้นเชื่อมต่อกับระบบฐานข้อมูลปริภูมิ
รูปที่ 10 แสดงเงื่อนไขการเชื่อมต่อระบบฐานข้อมูล PostgreSQL
รูปที่ 11 แสดงรายละเอียดการเชื่อมต่อกับระบบฐานข้อมูล
- เมื่อทาการเชื่อมต่อกับระบบฐานข้อมูลเรียบร้อยแล้ว กดปุ่ม Connect เพื่อเรียกชั้นข้อมูลต่างๆที่ถูกจัดเก็บในระบบฐานข้อมูลมาแสดงผลในรูปแบบของแผนที่บน Map Display
รูปที่ 12 แสดงรายการชั้นข้อมูลภายในระบบฐานข้อมูล PostgreSQL
- ผู้ใช้สามารถทาการปรับแก้ข้อมูลปริภูมิต่างๆในรูปแบบของ Vector Data บนระบบฐานข้อมูลได้ซึ่งจะแสดงผล Map Display โดยกดปุ่ม
รูปที่ 13 แสดงตัวอย่างข้อมูลสายทางและข้อมูลหลักกิโลเมตร
- เมื่อกดปุ่ม Toggle editing แล้วโปรแกรมจะแสดงจุด (Node) ที่มีค่าพิกัดอ้างอิงบนพื้นผิวโลก สามารถใช้เครื่องมือ Tools Bar
เหล่านี้ในการจัดการข้อมูล
รูปที่ 14 แสดงจุดบนข้อมูลสายทางเมื่อมีการปรับแก้ข้อมูล
Node
- เครื่องมือที่ช่วยสนับสนุนการนาเข้าข้อมูลปริภูมิโดยการ Digitizing สามารถใช้การ Snap เพื่อใช้การปรับแก้ข้อมูลสะดวกและง่ายยิ่งขึ้น
รูปที่ 15 แสดงการกาหนดระยะ Tolerance เพื่อใช้ในการ Snap
- ทาการทดสอบการนาเข้าข้อมูลปริภูมิโดยการ Digitizing เพื่อบันทึกข้อมูลลงสู่ระบบฐานข้อมูล เริ่มจากทาการเปิด Toggle editing แล้วใช้เครื่องมือ Capture Line เพื่อใช้ในการ Digitize ข้อมูลสายทาง เมื่อเสร็จสิ้นการ Digitize แล้วคลิกขวา จากนั้นกรอกข้อมูลอรรถาธิบาย (Attribute Data) ในหน้าต่าง Enter Attribute Value
รูปที่ 16 แสดงการนาเข้าข้อมูลปริภูมิโดยการ Digitizing
ระยะ Tolerance มีหน่วยตาม Map Unit
รูปที่ 17 แสดงหน้าต่างของ Enter Attribute Value
9. คาอธิบายเครื่องมือที่ใช้ในการปรับแก้ข้อมูลปริภูมิ
เป็นปุ่มที่ใช้เมื่อเริ่มแก้ไขและสิ้นสุดการแกไขข้อมูล
เป็นปุ่มสร้างข้อมูลประเภทจุด (Point)
เป็นปุ่มสร้างข้อมูลประเภทเส้น (Line)
เป็นปุ่มสร้างข้อมูลประเภทพื้นที่รูปปิด (Polygon)
เป็นปุ่มสร้างข้อมูลประเภทพื้นที่รูปปิดแบบกรวง (Ring)
เป็นปุ่มสร้างข้อมูลประเภทพื้นที่รูปปิดแบบ (Multi Polygon)
เป็นปุ่มเครื่องมือที่ใช้ในการตัดหรือแบ่งข้อมูลเส้น
เป็นปุ่มเครื่องมือที่ใช้ในการเคลื่อนย้าย Feature ที่ต้องการ
เป็นปุ่มเครื่องมือที่ใช้ในการเคลื่อนย้าย Node ที่ต้องการ
เป็นปุ่มเครื่องมือที่ใช้ในการเพิ่ม Node
เป็นปุ่มเครื่องมือที่ใช้ในการลบ Node
เป็นปุ่มเครื่องมือที่ใช้ในการลบข้อมูล feature ที่ทาการเลือกไว้ (Selection)
เป็นปุ่มเครื่องมือที่ใช้ในการตัดข้อมูล feature
เป็นปุ่มเครื่องมือที่ใช้ในการคัดลอกข้อมูล feature
เป็นปุ่มเครื่องมือที่ใช้ในการวางข้อมูล feature
10. การร้องขอใช้บริการข้อมูล WMS ผ่านระบบเครือข่าย
กดปุ่ม เพื่อเรียกเครื่องมือ WMS Server ผ่านระบบเครือข่าย Internet โดยเริ่มต้นกด New Connection
รูปที่ 18 แสดง Add Layers from server
รูปที่ 19 แสดงการกาหนดค่าพารามิเตอร์ในการเชื่อมต่อเพื่อขอใช้บริการข้อมูล WMS
รูปที่ 20 แสดงรายละเอียดการเชื่อมต่อกับ WMS service
11. ตัวอย่าง URL ที่เปิดให้บริการข้อมูล WMS
1. http://onearth.jpl.nasa.gov/wms.cgi
2. http://dt.gistda.or.th/wms/spot5
รูปที่ 21 แสดงผลการเชื่อมต่อ http://onearth.jpl.nasa.gov/wms.cgi
รูปที่ 22 แสดงผลการเชื่อมต่อ http://dt.gistda.or.th/wms/spot5
12. การร้องขอใช้บริการข้อมูล WFS ผ่านระบบเครือข่าย (Web Feature Service)
กดปุ่ม เพื่อเรียกเครื่องมือ WFS Server ผ่านระบบเครือข่าย Internet โดยเริ่มต้นกด New Connection
รูปที่ 23 แสดง Add WFS Layer from Server
รูปที่ 24 แสดงการกาหนดค่าพารามิเตอร์ในการเชื่อมต่อเพื่อขอใช้บริการข้อมูล WFS
13. ตัวอย่าง URL ที่เปิดให้บริการข้อมูล WFS
http://sigma.openplans.org:8080/geoserver/wfs?service=WFS&request=GetFeature&typename=roads&CQL_FILTER=INTERSECT(gen_full,%20POINT%20(-89.397024%2031.065245))
14. การกาหนดคุณลักษณะต่างๆของชั้นข้อมูล (Layer Property)
ทาการคลิกขวาที่ชั้นข้อมูลที่ต้องการกาหนดคุณลักษณะที่แสดงผลบน Legend
รูปที่ 25 แสดงการกาหนด Layer Property
รูปที่ 26 แสดงการใช้งาน Layer Property
ใน Layer Properties ประกอบด้วย Tab ต่างๆ ดังนี้ General, Symbology, Metadata, Labels, Action, Attribute เป็นต้น

รูปที่ 27 แสดง Symbolizing-options

แหล่งที่มา http://www.ldd.go.th/gisweb/Download/Presentation/Quantum%20GIS.pdf

คู่มือการใช้งานโปรแกรม Map Window GIS

คู่มือการใช้งานโปรแกรม Map Window GIS
ชัยภัทร เนื่องคำมา
Email: pk_a1977@hotmail.com
1. บทนำ
MapWindow GIS เป็นโปรแกรมประเภท Desktop GIS ซึ่งออกแบบมาให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถทำงานทางด้านระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ได้อย่างสะดวก โดยเน้นไปที่การใช้งานที่ง่ายและมีฟังก์ชันการทำงานที่ค่อนข้างหลากหลาย นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาฟังก์ชั่นเฉพาะในรูปแบบของ plug-in สำหรับการวิเคราะห์ที่เฉพาะทางเช่น การวิเคราะห์เรื่องน้ำ (hydrology), การวิเคราะห์ข้อมูลสภาพภูมิประเทศ เป็นต้น โปรแกรมนี้จัดเป็นโปรแกรมประเภทรหัสเปิด (Open Source) ที่อยู่ภายใต้ลิขสิทธิ์ของ The Mozilla Public License 1.1 ดังนั้นผู้ใช้จึงสามารถนำโปรแกรมนี้มาใช้งานได้โดยที่ได้ต้องเสียค่าซอฟ์ทแวร์ ซึ่งเหมาะกับหน่วยงานหรือสถาบันการศึกษาที่ต้องการนำระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์มาใช้ในองค์กรแต่มีข้อจำกัดเรื่องงบประมาณ
บทความชุดนี้ทำขึ้นเพื่อส่งเสริมและเผยแพร่ความรู้ทางวิชาการ ไม่ได้มีเจตนาทำขึ้นเพื่อจำหน่ายหรือใช้เพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจแต่อย่างใด
2. การติดตั้งโปรแกรม
1. ทำการดาว์โหลดโปรแกรม MapWindow GIS จาก URL
http://www.mapwindow.org/download.php?file_name=http://svn.mapwindow.org/svnroot/InstallationProjects/4.2/Release/MapWindow42SR.exe&show_details=1&dl=1
2. Double click ไฟล์ MapWindow42SR.exe เพื่อทำการติดตั้งโปรแกรม
3. ทดลองรันโปรแกรม MapWindow GIS กรณีที่สามารถติดตั้งได้สำเร็จจะปากฏหน้าตาเริ่มต้นของโปรแกรมดังรูปที่ 1
รูปที่ 1 แสดงหน้าต่างต้อนรับของโปรแกรม MapWindow GIS
Map Window GIS 4.2.2 Manual ชัยภัทร เนื่องคำมา
2
3. การใช้งานโปรแกรม MapWindow GIS ทั่วไป
สำหรับโปรแกรม MapWindow GIS มีหน้าต่าง แถบเครื่องมือและฟังก์ชันการทำงานที่เหมือนกับโปรแกรม GIS ทั่วไป ผู้ใช้หลายท่านน่าจะคุ้นเคยมาบ้างแล้ว ดังนั้นในส่วนนี้ ผมจะขอกล่าวถึงเฉพาะส่วนที่แตกต่างไปจากโปรแกรมทั่วไปเท่านั้น
3.1 การนำเข้าข้อมูลเชิงพื้นที่
โปรแกรม MapWindow GIS สนับสนุนการทำงานกับข้อมูลทั้งประเภทเวกเตอร์และราสเตอร์ โดยชนิดของรูปแบบการจัดเก็บข้อมูล (format) มีค่อนข้างหลากหลายโดยเฉพาะในข้อมูลราสเตอร์ แต่ค่อนข้างจำกัดในข้อมูลเวกเตอร์เมื่อเทียบกับโปรแกรมอื่นๆ โดยรูปแบบการจัดเก็บข้อมูลของข้อมูลเวกเตอร์จะสนับสนุนเฉพาะ shapefile กับ coverage เท่านั้น การนำเข้าข้อมูลสามารถทำได้ดังนี้ครับ
1. ไปที่คำสั่ง View >> Add Layer
2. ทำการเลือกไดเร็กทอรี่ที่เก็บชั้นข้อมูลที่ต้องการ
รูปที่ 2 แสดงการเลือกไฟล์ที่ต้องการนำเข้าในโปรแกรม
รูปที่ 3 แสดงการชนิดไฟล์ที่สามารถนำเข้าในโปรแกรม Map Window GIS 4.2.2 Manual ชัยภัทร เนื่องคำมา
3
รูปที่ 4 แสดงผลลัพธ์การนำเข้าข้อมูลในโปรแกรม
3.2 การแสดงผลข้อมูลเชิงพื้นที่
3.2.1 แถบควบคุมการแสดงผลแผนที่
โปรแกรม Map Window GIS มีแถบเครื่องมือควบคุมการทำงานของแผนที่เหมือนกับโปรแกรม GIS ทั่วไปดังภาพที่ 5
รูปที่ 5 แสดงแถบเครื่องมือควบคุมการแสดงผลแผนที่
Map Window GIS 4.2.2 Manual ชัยภัทร เนื่องคำมา
4
3.2.2 การกำหนดรูปแบบและสัญลักษณ์ของแผนที่
1. คลิ๊กขวาที่ชั้นข้อมูล และเลือกแถบคำสั่ง Properties
2. เลือก Coloring Scheme บนหน้าต่าง Legend Editor
รูปที่ 6 แสดงหน้าต่างที่ใช้กำหนดรูปแบบการแสดงผลของแผนที่
3. ทำการเลือกฟิลด์ที่จะใช้เป็นค่าในการจำแนกสี และกำหนดรูปแบบการจำแนกข้อมูล
รูปที่ 7 แสดงการกำหนดรูปแบบการจำแนกกลุ่มข้อมูล
Map Window GIS 4.2.2 Manual ชัยภัทร เนื่องคำมา
5
รูปที่ 8 แสดงผลลัพธ์การกำหนดรูปแบบการจำแนกกลุ่มข้อมูล
3.2.3 การกำหนดมุมมองภาพรวมแผนที่ (Overview Map)
1. ไปที่เมนู Edit >> Preview Map >> Update Using Full Extents
รูปที่ 9 แสดงคำสั่งการเปิดมุมมองภาพรวมของแผนที่
Overview Map
รูปที่ 10 แสดงผลลัพธ์คำสั่งการเปิดมุมมองภาพรวมของแผนที่ Map Window GIS 4.2.2 Manual ชัยภัทร เนื่องคำมา
6
3.3 การจัดการข้อมูลเชิงบรรยาย
โปรแกรม MapWindow GIS มีฟังก์ชันที่ใช้ในการจัดการข้อมูลเชิงบรรยายที่ค่อนข้างสมบูรณ์ ผ็ใช้สามารถใช้งานผ่านอินเตอร์เฟสได้อย่างสะดวก
3.3.1 การแสดงผลข้อมูลเชิงบรรยาย
1. ทำการเลือกชั้นข้อมูลที่ต้องการ ด้วยการ click บนแถบชั้นข้อมูล
2. ไปที่แถบเครื่องมือ Table Editor
Table Editor Tool
รูปที่ 11 แสดงข้อมูลเชิงบรรยายในรูปแบบตาราง
3.3.2 การแก้ไขหรือปรับปรุงข้อมูลเชิงบรรยาย
3.3.2.1 การเพิ่มฟิลด์ของตารางข้อมูล
1. ไปที่เมนู Edit >> Add Field เพื่อทำการเพิ่มฟิลด์
กำหนดชื่อฟิลด์
กำหนด Data Type
กำหนด ขนาดข้อมูล
รูปที่ 12 แสดงการกำหนดคุณสมบัติของฟิลด์ที่จะทำการเพิ่ม
Map Window GIS 4.2.2 Manual ชัยภัทร เนื่องคำมา
7
3.3.2.2 การลบฟิลด์ของตารางข้อมูล
1. ไปที่เมนู Edit >> Remove Field เพื่อทำการเพิ่มฟิลด์
เลือกชื่อฟิลด์ที่ต้องการลบ
รูปที่ 13 แสดงการเลือกฟิลด์ที่จะทำการลบ
3.3.2.3 การลบฟิลด์ของตารางข้อมูล
1. ไปที่เมนู Edit >> Rename Field เพื่อทำการเปลี่ยนชื่อฟิลด์
เลือกชื่อฟิลด์ที่ต้องการเปลี่ยนชื่อ
กำหนดชื่อใหม่ที่ต้องการ
รูปที่ 14 แสดงการเลือกฟิลด์ที่จะทำการเปลี่ยนชื่อ
3.3.2.4 การคำนวณค่าของข้อมูล
1. ไปที่เมนู Tools >> Field Calculator Tool เพื่อทำการนำข้อมูลที่อยู่ในฟิลด์มาคำนวณทางสถิติเบื้องต้น
2. ทำการสร้างเงื่อนไขในการคำนวณโดยสามารถนำค่าของข้อมูลที่อยู่ในฟิลด์ต่างๆมาใช้คำนวณร่วมในสมการได้ Map Window GIS 4.2.2 Manual ชัยภัทร เนื่องคำมา
8
ฟิลด์ต่างๆที่นำมาใช้ในการคำนวณได้
ฟังก์ชันคณิตศาสตร์ที่ใช้คำนวณ
สร้างสมการเงื่อนไขในการคำนวณ
รูปที่ 15 แสดงหน้าต่างของ Field Calculator Tool
3.3.2.5 การเชื่อมโยงตารางจากภายนอก
1. ไปที่เมนู Tools >> Import Field Definitions from DBF เพื่อทำการเชื่อมโยงตารางหลักที่ทีกับตารางอื่นๆภายนอกที่อยู่ในรูปแบบ dbf
2. ทำการเลือกไฟล์ dbf ที่ต้องการทำการเชื่อมโยง
รูปที่ 16 แสดงการเลือกไฟล์ dbf เพื่อทำการเชื่อมโยงตารางฐานข้อมูล
Map Window GIS 4.2.2 Manual ชัยภัทร เนื่องคำมา
9
รูปที่ 17 แสดงผลลัพธ์การเชื่อมโยงตารางฐานข้อมูล
3.4 การสืบค้นข้อมูล
การสืบค้นข้อมูลในโปรแกรม MapWindow GIS สามารถแบ่งออกเป็นสองประเภทคือการสืบค้นด้วยฟังก์ชั่นเชิงพื้นที่และการสืบค้นจากข้อมูลเชิงบรรยาย
3.4.1 การสืบค้นข้อมูลด้วยฟังก์ชั่นเชิงพื้นที่
โปรแกรม MapWindow GIS สามารถทำการสืบค้นด้วยค่าพิกัดภูมิศาสตร์และขอบเขตภูมิศาสตร์ โดยจะมีขั้นตอนดังต่อไปนี้
1. ไปที่แถบเครื่องมือ Feature Identifier
2. ทำการกำหนดค่าพิกัดที่จะใช้ในการสืบค้น โดยการคลิ๊กไปยังตำแหน่ง
ที่ต้องการสืบค้นบนแผนที่
คลิ๊กตำแหน่งที่ต้องการ
ผลลัพธ์ทีได้จากการสืบค้น
รูปที่ 18 แสดงตำแหน่งบนแผนที่ที่ต้องการสืบค้น Map Window GIS 4.2.2 Manual ชัยภัทร เนื่องคำมา
10
3. ทดลองใช้เมาส์ลากขอบเขตการค้นหาบนแผนที่
กำหนดขอบเขตการสืบค้น
รูปที่ 19 แสดงการกำหนดขอบเขตบนแผนที่ที่ต้องการสืบค้น
3.4.2 การสืบค้นจากข้อมูลเชิงบรรยาย
โปรแกรม MapWindow GIS มีเครื่องมือสำหรับสร้างชุดคำสั่ง SQL ในการสืบค้นข้อมูลจากฐานข้อมูล โดยมีขั้นตอนดังต่อไปนี้
1. ทำการกำหนดชั้นข้อมูลที่ต้องการจะทำการสืบค้น ด้วยการคลิ๊กที่ชั้นข้อมูลแผนที่บนแถบควบคุมชั้นข้อมูลแผนที่
2. เปิดตารางฐานข้อมูลโดยไปที่แถบเครื่องมือ Table Editor
รูปที่ 20 แสดงตารางฐานข้อมูล Map Window GIS 4.2.2 Manual ชัยภัทร เนื่องคำมา
11
3. ไปที่เมนู Selection >> Query
4. กำหนดฟิลด์ที่จะใช้ในการสร้างเงื่อนไขเพื่อสืบค้น
รูปที่ 21 แสดงหน้าตา Query Builder สำหรับสร้างคำสั่ง SQL
รูปที่ 22 แสดงผลลัพธ์ที่ได้จากการสืบค้นในรูปแบบตาราง
Map Window GIS 4.2.2 Manual ชัยภัทร เนื่องคำมา
12
3.5 การสร้างและปรับแก้ข้อมูลเชิงพื้นที่
3.5.1 การสร้างข้อมูลเชิงพื้นที่
โปรแกรม Map Window GIS มีฟังก์ชั่นการทำงานที่รองรับการสร้างชั้นข้อมูลแผนที่เชิงเส้นทั้งประเภท จุด (Point), เส้น (line), โพลีกอน (Polygon) โดยที่ผู้ใช้สามารถสร้างข้อมูลด้วยการทำ Head-Up Digitize จากหน้าจอโปรแกรมได้ทันที
1. ทำการเปิดภาพออร์โธโฟโต้ที่ใช้เป็นแหล่งข้อมูลขึ้นมา โดยไปที่เมนู View >> Add Layer
2. ทำการโหลด plug-in ที่ชื่อว่า Shapfile Editor โดยไปที่เมนู Plug-ins >> Shapfile Editor
รูปที่ 23 แสดงแถบเครื่องมือ Shapfile Editor
3. ไปคลิ๊กที่ Create New Shapefile บนแถบเครื่องมือ
รูปที่ 24 แสดงการกำหนดไดเร็กทอรี่สำหรับจัดเก็บและชนิดของ Geometry ของ Shapfile
4. ทำการดิจิไตล์อาคารจากภาพออร์โธโฟโต้ โดยคลิ๊กที่ปุ่ม Add new shape to current shapefile บนแถบเครื่องมือแล้วลากเส้นขอบอาคาร
รูปที่ 25 แสดงการดิจิไตล์อาคารจากภาพออร์โธโฟโต้ Map Window GIS 4.2.2 Manual ชัยภัทร เนื่องคำมา
13
5. ทำการเปิดตารางฐานข้อมูลของชั้นข้อมูลอาคารที่สร้างขึ้น
รูปที่ 26 แสดงตารางฐานข้อมูลของชั้นข้อมูลอาคารที่สร้างใหม่
6. เพิ่มคอลัมน์เพื่อใช้ในการจัดเก็บข้อมูลเชิงบรรยายที่สัมพันธ์กับข้อมูลเชิงพื้นที่ โดยไปที่เมนู edit>>add field
รูปที่ 27 แสดงการกำหนดคุณสมบัติคอลัมน์ที่สร้างใหม่
7. ทำการพิมพ์ข้อมูลเชิงบรรยายลงในตารางตามที่ต้องการ แล้วกดปุ่ม Apply เพื่อทำการบันทึกข้อมูล Map Window GIS 4.2.2 Manual ชัยภัทร เนื่องคำมา
14
รูปที่ 28 แสดงตารางผลลัพธ์ที่ได้ทำการใส่ค่าข้อมูลเชิงบรรยาย
3.5.2 การแก้ไขข้อมูลเชิงพื้นที่
การแก้ไขข้อมูลเชิงพื้นที่ด้วยโปรแกรม Map Window GIS สามารถทำได้ตามขั้นตอนต่างๆดังต่อไปนี้
1. ทำการเลือกฟีเจอร์ที่ต้องการปรับแก้ โดยไปที่แถบคำสั่ง Move an Existing vertex in Shape แล้วใช้เมาส์คลิ๊กไปที่ฟีเจอร์บนแผนที่
2. เลือก vertex ที่ต้องการปรับแก้แล้วทำการคลิ๊กเมาส์ข้าง เพื่อลากจุด vertexไปยังตำแหน่งที่ต้องการ
คลิ๊กที่จุด Vertex ที่ต้องการปรับแก้
รูปที่ 29 แสดงผลลัพธ์ที่ได้ทำการใส่ค่าข้อมูลเชิงบรรยาย Map Window GIS 4.2.2 Manual ชัยภัทร เนื่องคำมา
15
3. กรณีที่ต้องการเพิ่มหรือลบจุด vertex ให้ไปที่แถบเครื่องมือและคลิ๊กที่ปุ่ม Add vertex หรือ Remove Vertex เพื่อทำการเพิ่มหรือลบข้อมูลจากฟีเจอร์
รูปที่ 30 แสดงแถบเครื่องมือสำหรับเพิ่มหรือลบ vertex
3.6 การประมวลผลข้อมูลเชิงพื้นที่
โปรแกรม Map Window GIS มีฟังก์ชันการประมวลผลข้อมูลเชิงพื้นที่ที่หลากหลาย ครอบคลุมการทำงานทั่วไปของระบบงาน GIS โดยแบ่งประเภทของฟังก์ชั่นออกเป็น 3 ประเภทหลักคือ Vector, Raster และ Image
3.6.1 ฟังก์ชั่นการวิเคราะห์และประมวลผลสำหรับข้อมูล Vector
3.6.1.1 ฟังก์ชั่น Assign Projection to shapefile
Assign Projection to shapefile เป็นฟังก์ชั่นที่ใช้สำหรับกำหนดค่าระบบพิกัดอ้างอิง (Spatial Reference System) ด้วยการสร้างไฟล์ prj กำกับ ให้กับข้อมูล Vector โดยมีขั้นตอนการทำงานดังต่อไปนี้
1. ไปที่เมนู GIS Tools>>Vector>> Assign Projection to shapefile
2. ทำการหาไดเร็กทอรี่ที่เก็บไฟล์ แล้วเลือก shapefile ที่ต้องการ
3. กำหนดค่า Map Projection และค่า Datum ให้กับข้อมูล
รูปที่ 31 แสดงการกำหนดค่าระบบพิกัดอ้างอิง (Spatial Reference System)
Map Window GIS 4.2.2 Manual ชัยภัทร เนื่องคำมา
16
รูปที่ 32 แสดงไฟล์ผลลัพธ์ที่ได้จากการกำหนดค่าระบบพิกัดอ้างอิง
3.6.1.2 ฟังก์ชั่น Buffer Shapes
ฟังก์ชั่น Buffer Shapes เป็นฟังก์ชั่นที่ใช้สำหรับในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่ โดยมีขั้นตอนการทำงานดังต่อไปนี้
1. ไปที่เมนู GIS Tools>>Vector>>Buffer Shapes
2. กำหนดชั้นข้อมูลที่ต้องการวิเคราะห์
รูปที่ 33 แสดงชั้นข้อมูลที่ต้องการสร้าง buffer
3. กำหนดรายละอียดในการคำนวณสำหรับสร้าง buffer
ขนาดรัศมีของ Buffer
ผลลัพธ์ที่ได้
ตำแหน่งการสร้าง
ระบุไดเร็กทอรี่ที่ทำการจัดเก็บข้อมูล
รูปที่ 35 แสดงการกำหนดรายละเอียดในการคำนวณ Buffer
Map Window GIS 4.2.2 Manual ชัยภัทร เนื่องคำมา
17
รูปที่ 36 แสดงผลลัพธ์ที่ได้จากการคำนวณ Buffer
3.6.1.3 ฟังก์ชั่น Calculate Polygon Area
ฟังก์ชั่น Calculate Polygon Area เป็นฟังก์ชั่นที่ใช้สำหรับคำนวณพื้นที่ของสี่เหลี่ยมรูปปิด โดยมีขั้นตอนการทำงานดังต่อไปนี้
1. ไปที่เมนู GIS Tools>>Vector>>Calculate Polygon Area
2. ทำการกำหนดชั้นข้อมูลประเภทโพลีกอนเพื่อทำการคำนวณ
3. กำหนดคอลัมน์ที่จะทำการเก็บค่าพื้นที่ที่ได้จากการคำนวณ
4. กำหนดหน่วยของผลลัพธ์พื้นที่ที่ต้องการ
เลือกชั้นข้อมูลที่ต้องการ
กำหนดชื่อฟิลด์ใหม่ที่เก็บผลลัพธ์
กำหนดหน่วยของพื้นที่
รูปที่ 37 แสดงหน้าต่างการกำหนดพารามิเตอร์ในการคำนวณพื้นที่ Map Window GIS 4.2.2 Manual ชัยภัทร เนื่องคำมา
18
3.6.1.4 ฟังก์ชั่น Clip Shapefile with polygon
ฟังก์ชั่น Clip Shapefile with polygon เป็นฟังก์ชั่นที่ใช้สำหรับการตัดชั้นข้อมูลด้วยโพลีกอน โดยมีขั้นตอนการทำงานดังต่อไปนี้
1. ไปที่เมนู GIS Tools>>Vector>> Clip Shapefile with polygon
2. กำหนดชั้นข้อมูลที่ต้องการจะ Clip
3. กำหนดชั้นข้อมูลที่ใช้เป็นตัวแบบ (template) ในการตัด ผู้ใช้สามารถเลือกเฉพาะบางฟีเจอร์ในชั้นข้อมูลเพื่อทำการตัดได้
4. กำหนดไดเร็กทอรี่ที่ใช้ในการจัดเก็บผลลัพธ์ที่ได้
เลือกชั้นข้อมูลที่ต้องการ Clip
เลือกเฉพาะบางฟีเจอร์ในชั้นข้อมูลเพื่อใช้ในการตัด
เลือกตัวแบบ Template ที่ใช้ในการตัด
กำหนดไดเรกทอรี่ที่ใช้ในการจัดเก็บข้อมูล
รูปที่ 38 แสดงหน้าต่างการกำหนดพารามิเตอร์ในการประมวลผล
3.6.1.5 ฟังก์ชั่น Merge Shapefile
ฟังก์ชั่น Merge Shapefile เป็นฟังก์ชันที่ใช้ในการเชื่อมชั้นข้อมูลแผนที่สองชุดให้กลายเป็นชั้นข้อมูลเดียวกันหรือใช้ในการเชื่อมฟีเจอร์หลายๆฟีเจอร์เข้าด้วยกัน โดยมีขั้นตอนการทำงานดังต่อไปนี้
1. ไปที่เมนู GIS Tools>>Vector>> Merge Shapefile
2. กำหนดชั้นข้อมูลที่ต้องการจะ Merge ในกรณีที่ต้องการ Merge เฉพาะฟีเจอร์ที่อยู่ในชั้นข้อมูลเดียวกัน ก็สามารถทำโดยการใช้เมาส์คลิ๊กเลือกฟีเจอร์ที่ต้องการ Map Window GIS 4.2.2 Manual ชัยภัทร เนื่องคำมา
19
รูปที่ 39 แสดงการกำหนดฟีเจอร์ที่ต้องการจะทำการ Merge
3. ทำการกำหนดไดเรกทอรี่ปลายทางที่จะทำการจัดเก็บผลลัพธ์
เลือกชั้นข้อมูลชุดแรกที่ต้องการ Merge
กดปุ่ม Select Shape เมื่อต้องการจะเลือกบางฟีเจอร์
เลือกชั้นข้อมูลชุดที่สองที่ต้องการ Merge
กำหนดไดเร็กทอรี่จัดเก็บข้อมูลปลายทาง
รูปที่ 40 แสดงการกำหนดพารามิเตอร์ในการประมวลผล
Map Window GIS 4.2.2 Manual ชัยภัทร เนื่องคำมา
20
รูปที่ 41 แสดงผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผล
3.6.2 ฟังก์ชั่นการวิเคราะห์และประมวลผลสำหรับข้อมูล Raster
3.6.2.1 ฟังก์ชั่นการ Reproject Grid
ฟังก์ชั่นการ Reproject Grid เป็นฟังก์ชั่นที่ใช้ในการแปลงค่าระบบพิกัดอ้างอิง (Spatial Reference System) ของข้อมูลราสเตอร์ โดยข้อมูลราสเตอร์จำเป็นต้องมีค่าพิกัดภูมิศาสตร์เริ่มต้องก่อนทำการประมวลผลทุกครั้ง การทำงานจะมีขั้นตอนดังต่อไปนี้
1. ไปที่เมนู GIS Tools>>Raster>> Reproject Grid
2. ทำการนำเข้าข้อมูลราสเตอร์ที่ต้องการจะทำการแปลงค่าระบบพิกัดเข้าสู่โปรแกรม
ไฟล์ราสเตอร์ที่จะทำการแปลงค่าพิกัด
ผลลัพธ์ที่ได้จากการ Merge Feature
รูปที่ 42 แสดงหน้าต่างรายงานสถานะของข้อมูลราสเตอร์ที่จะทำการประมวลผล
Map Window GIS 4.2.2 Manual ชัยภัทร เนื่องคำมา
21
3. กำหนดระบบพิกัดผลลัพธ์ที่ต้องการแปลง ในกรณีที่ข้อมูลยังไม่มีการระบุรายละเอียดของระบบพิกัดมาก่อนโปรแกรมจะบังคับให้ผู้ใช้ระบุพิกัดของข้อมูลก่อน
รูปที่ 43 แสดงการเลือกระบบพิกัดที่ต้องการแปลง
3.6.2.2 ฟังก์ชั่นการ Change Grid format
ฟังก์ชั่นการ Change Grid format เป็นฟังก์ชั่นที่ใช้ในการแปลงรูปแบบชนิดการเก็บข้อมูลของราสเตอร์ การทำงานจะมีขั้นตอนดังต่อไปนี้
1. ไปที่เมนู GIS Tools>>Raster>> Change Grid format
2. ทำการนำเข้าข้อมูลราสเตอร์ที่ต้องการจะทำการแปลงรูปแบบชนิดการเก็บข้อมูลของราสเตอร์
ไฟล์ราสเตอร์ที่จะทำการแปลงรูปแบบการจัดเก็บ
รูปที่ 44 แสดงหน้าต่างรายงานสถานะของข้อมูลราสเตอร์ที่จะทำการประมวลผล
3. กำหนดประเภทฟอร์แมท์ที่ต้องการและขนาดของการจัดเก็บข้อมูลของแต่ละพิกเซล Map Window GIS 4.2.2 Manual ชัยภัทร เนื่องคำมา
22
รูปที่ 45 แสดงการกำหนดรายละเอียดสำหรับข้อมูลผลลัพธ์
3.6.2.3 ฟังก์ชั่นการ Resample Grids
ฟังก์ชั่นการ Resample Grids เป็นฟังก์ชั่นที่ใช้ในการแปลงขนาดพิกเซลของข้อมูลของราสเตอร์ การทำงานจะมีขั้นตอนดังต่อไปนี้
1. ไปที่เมนู GIS Tools>>Raster>> Resample Grids
2. ทำการนำเข้าข้อมูลราสเตอร์ที่ต้องการจะทำการแปลงรูปแบบขนาดพิกเซลของราสเตอร์
ไฟล์ราสเตอร์ที่จะทำการแปลงขนาดพิกเซล
รูปที่ 46 แสดงหน้าต่างรายงานสถานะของข้อมูลราสเตอร์ที่จะทำการประมวลผล
3. กำหนดขนาดของพิกเซลที่ต้องการสำหรับภาพผลลัพธ์ แล้วทำการกำหนดรูปแบบการจัดเก็บข้อมูล Map Window GIS 4.2.2 Manual ชัยภัทร เนื่องคำมา
23
รูปที่ 47 แสดงการกำหนดรายละเอียดการจัดเก็บข้อมูลของภาพผลลัพธ์
รูปที่ 48 แสดงภาพผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผล
3.6.2.4 ฟังก์ชั่น GeoReference Image or grid
ฟังก์ชั่น Geo Reference Image and grid เป็นฟังก์ชั่นที่ใช้ในการกำหนดค่าพิกัดภูมิศาสตร์อ้างอิงให้กับข้อมูลภาพราสเตอร์ การทำงานจะมีขั้นตอนดังต่อไปนี้
1. ไปที่เมนู GIS Tools>>Raster>>GeoReference Image or grid
2. ทำการนำเข้าข้อมูลราสเตอร์ที่ต้องการจะทำการกำหนดค่าพิกัดภูมิศาสตร์ Map Window GIS 4.2.2 Manual ชัยภัทร เนื่องคำมา
24
กดปุ่มคำสั่ง Load file เพื่อนำภาพเข้ามาทำการ Rectify
รูปที่ 49 แสดงการนำเข้าข้อมูลภาพที่จะทำการตรึงค่าพิกัด
3. ทำการนำเข้าข้อมูลตำแหน่งพิกัดอ้างอิงที่จะใช้ในการกำหนดค่าพิกัดให้กับข้อมูลภาพราสเตอร์ โดยในตัวอย่างนี้จะทำการนำเข้า point จากการเก็บค่าพิกัดด้วย GPS ดังภาพที่ 50
ค่าพิกัดภูมิศาสตร์ของตำแหน่งควบคุมภาพที่ได้จากการวัดด้วย GPS
รูปที่ 50 แสดงการเตรียมข้อมูลค่าพิกัดภูมิศาสตร์ที่จะใช้ในการ Rectify ข้อมูลภาพ
Map Window GIS 4.2.2 Manual ชัยภัทร เนื่องคำมา
25
4. ทำการกำหนดตำแหน่งที่จะตรึงค่าพิกัด โดยใช้เมาส์คลิ๊กบนภาพดังภาพที่ 51
ค่าพิกัดภาพของตำแหน่งบนภาพที่อ่านได้
ทำการ Click ที่จุดแรกเพื่ออ่านค่าพิกัดภาพ
รูปที่ 51 แสดงการกำหนดตำแหน่งที่สนใจบนภาพเพื่ออ่านค่าพิกัดภาพ
5. ทำการ Click ที่ตำแหน่งเดียวกันบนแผนที่ที่ทราบค่าพิกัดภูมิศาสตร์โลก โดยในตัวอย่างนี้ใช้ค่าพิกัดจากการเก็บด้วย GPS และนำเข้ามาแสดงในรูปแบบ point
นำเมาส์ไป Click ที่จุดทราบค่าพิกัดภูมิศาสตร์ เพื่อนำค่านั้นมาใช้ในการคำนวณ
รูปที่ 52 แสดงการกำหนดค่าพิกัดภูมิศาสตร์โลกจากแผนที่ Map Window GIS 4.2.2 Manual ชัยภัทร เนื่องคำมา
26
6. ทำจนครบทั้งหมด 3 ตำแหน่งทั้ง Point 1, Point2, Point3 แล้วทำการกดปุ่ม Georeference เพื่อทำการคำนวณ
ค่าพิกัดใหม่ที่ได้จากการคำนวณ โดยใช้ค่าพิกัดที่ทำการเก็บด้วย GPS
รูปที่ 53 แสดงภาพผลลัพธ์ที่มีพิกัดภูมิศาตร์หลังจากการประมวลผลเรียบร้อยแล้ว
4. สรุป
บทความฉบับนี้เน้นไปที่การทำงานของฟังก์ชั่นหลักๆของโปรแกรม Map Window GIS เพื่อให้ผู้ใช้หลายท่านได้ทำความรู้จักกับโปรแกรม Open Source ตัวนี้ ยังมีอีกหลายฟังก์ชั่นที่ผมยังไม่ได้กล่าวถึงในบทความชุดนี้ รวมถึงความสามารถขั้นสูงของโปรแกรม Map Window GIS เช่นการเปิดช่องทางให้โอกาสโปรแกรมเมอร์เขียน script ด้วยภาษา vb.net หรือ C# เพื่อสร้างฟังก์ชั่นหรือ customizes โปรแกรมให้เฉพาะทางได้ และการวิเคราะห์ขั้นสูงด้วยโมเดลต่างๆเป็นต้น คิดว่าในอนาคตถ้าโอกาสอำนวยน่าจะได้มีโอกาสกล่าวถึงเรื่องนี้ต่อไป ขอบคุณครับ...
Map Window GIS 4.2.2 Manual ชัยภัทร เนื่องคำมา

แหล่งที่มา http://gotoknow.org/file/pkgis_chula/MapWindowGISMANUAL_compress.pdf

ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ หรือ Geographic Information Systems (GIS)

ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ หรือ Geographic Information System (GIS) นั้นได้มีผู้ให้คำจำกัดความไว้หลากหลาย เช่น

1. TYDACT Technologies Inc. (1987) : “Geographic Information System are software packages which can be use to create and analyze spatial information with such systems, maps, air photos and diagrams describing natural and man make features can be translated into an electronic code which can be recalled, modified and analyzed”
2. หนังสือ Geographic Information Systems An Introduction Second Edition : “Geographical information system (GIS) is now used generically for any computer-based capability for geographical data. A GIS computer-based capability for the manipulation of geographical data. A GIS includes not only hardware and software, but also the special devices used to input maps and to create map products, together with the communication systems needed to link various elements”
3. ข้อมูลจาก www.oepp.go.th : GIS คือ ระบบที่ใช้คอมพิวเตอร์จัดการเกี่ยวกับข้อมูลและข่าวสาร ตั้งแต่การรวบรวมข้อมูล การจัดเก็บข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล ตลอดจนการเสนอผลลัพธ์ข้อมูลเชิงซ้อนทั้งหมด ให้อยู่ในรูปที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ด้านต่างๆ ตามต้องการ ทั้งนี้โดยอาศัยลักษณะทางภูมิศาสตร์สัมพันธ์ระหว่างข้อมูลข่าวสารต่างๆ
4. ข้อมูลจาก www.khonkaen.go.th/gis/gis8.htm : GIS หมายถึง เครื่องมือที่ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อใช้ในการนำเข้าจัดเก็บจัดเตรียมดัดแปลงแก้ไข จัดการและวิเคราะห์พร้อมทั้งแสดงผลข้อมูลเชิงพื้นที่ ตามวัตถุประสงค์ต่างๆที่ได้กำหนดไว้ดังนั้น GIS จึงเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์เพื่อใช้ในการจัดการ และบริหารการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงข้อมูลด้านพื้นที่ ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากเป็นระบบที่เกี่ยวข้องกับระบบการไหลเวียนของข้อมูล และการผสานข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต่างๆ เช่น ข้อมูลปฐมภูมิ (primary data) หรือข้อมูลทุติยภูมิ(secondary data) เพื่อให้เป็นข่าวสารที่มีคุณค่า
5.ข้อมูลจาก rsgis.rs.psu.ac.th : GIS คือ ระบบเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงพื้นที่ และเชื่อมโยงและผสมผสานข้อมูลทั้งข้อมูลเชิงพื้นที่และข้อมูลเชิงบรรยาย ที่เก็บไว้ในฐานข้อมูล สามารถดัดแปลงแก้ไขและวิเคราะห์ และแสดงผลการวิเคราะห์ และการนำเสนอข้อมูล เพื่อให้เห็นมิติและความสัมพันธ์ด้านพื้นที่ของข้อมูล ซึ่งมีส่วนช่วยให้เกิดความเข้าใจปัญหา และประกอบการตัดสินใจในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับการวางแผนการใช้ทรัพยากรเชิงพื้นที่
6. ข้อมูลจาก www.gmt.co.th : GIS ประกอบด้วยคำ 2 คำ คือ "ระบบสารสนเทศ" (Information System) และคำว่า "ทางภูมิศาสตร์" (Geographic Geographical) ระบบสารสนเทศ เป็นการปฏิบัติการรวบรวม จัดเก็บ และวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นขั้นตอน สามารถสืบค้นข้อมูลที่ต้องการได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว สามารถนำข้อมูลที่เป็นผลจากการวิเคราะห์ไปใช้ในกระบวนการตัดสินใจของผู้บริหารในการปฎิบัติงานใด ๆ เปรียบเสมือนเครื่องมือที่อำนวยความสะดวกให้กับผู้บริหาร ภูมิศาสตร์ (Geographic) มาจากรากศัพท์ Geo หมายถึงโลก และ Graphic หมายถึงงานเขียน ดังนั้นการเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับโลกจะอยู่ในรูปแผนที่ ในอดีตการเก็บรวบรวมข้อมูลจะอยู่ในรูปแบบกระดาษ ดังนั้นระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ จึงเป็นระบบที่ออกแบบมาเพื่อใช้รวบรวม จัดเก็บ ค้นหา แสดงผล และวิเคราะห์ข้อมูลทางภูมิศาสตร์ ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์เป็นระบบที่จัดเก็บข้อมูลเชิงพื้นที่ให้อยู่ในรูปแผนที่เชิงเลข (Digital Map)
7. ข้อมูลจาก www.bhu.go.th : GIS เป็นระบบข้อมูลที่ประกอบด้วยข้อมูลเชิงพื้นที่ และข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานภาระหน้าที่ เพื่อให้สามารถนำข้อมูลเหล่านั้น มาวิเคราะห์ และนำผลของการวิเคราะห์มาใช้ประโยชน์ในงานนั้นๆได้ ตัวอย่างเช่น นักวางแผนด้านผังเมือง อาศัยข้อมูลเชิงแผนที่ ข้อมูลด้านการพัฒนาที่ดิน ข้อมูลด้านการวางผังเมือง มาวิเคราะห์ร่วมกัน ให้ได้ผลการวิเคราะห์ ที่นำไปใช้ประโยชน์ในการวางผังเมืองได้ หรือตัวอย่างเช่น นักระบาดวิทยา อาศัยข้อมูลเชิงแผนที่ ข้อมูลด้านภูมิศาสตร์ ข้อมูลป่า แหล่งน้ำ ข้อมูลการป่วยเจ็บ ข้อมูลความหนาแน่นของประชากร ฯลฯ มาวิเคราะห์ร่วมกัน ให้เกิดผลการวิเคราะห์โรคในแต่ละพื้นที่ สามารถทำนายการเกิดโรคได้ และ ใช้เป็นข้อมูลช่วยในการตัดสินใจ
8. ข้อมูลจาก www.stschool.ac.th. : GIS เป็นระบบที่ใช้ Computer เก็บรวมรวมประมวลผล และแจกจ่ายข้อมูลข่าวสารเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจ และการควบคุมภายในองค์กรข่าวสาร (Information) ข้อมูลที่ได้รับการประมวลผลหรือปรุงแต่ง เพื่อให้มีความหมายเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้ข้อมูล (Data) ข้อเท็จจริงที่ได้รับการรวบรวมหรือป้อนเข้าสู่ระบบกระบวนการทำงานของระบบสารสนเทศ ประกอบด้วยกิจกรรม 3 ชนิด (ต้องเก็บข้อมูลให้เป็นอัตโนมัติมากขึ้น) การนำข้อมูลเข้าสู่ระบบ (Input) การประมวลผล (Process) การนำเสนอผลลัพธ์ (Output) ระบบสารสนเทศบางระบบ ต้องการตอบสนอง (Feedback) ซึ่งก็คือส่วนหนึ่งของข้อมูลที่ผ่านการประมวลผล แล้วถูกส่งกลับไปยังส่วนการนำเข้าข้อมูลอีกครั้งหนึ่ง สารสนเทศที่เป็น Output ของระบบหนึ่ง อาจเป็น Input ของอีกระบบหนึ่งได้ ระบบสารสนเทศถือว่าเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร (Organization) องค์กรบางแห่งในปัจจุบันสามารถดำเนินธุรกิจได้ก็เพราะมีระบบสารสนเทศที่ดี
9. สำนักงานศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรของชุมชน : GIS คือ ระบบเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงพื้นที่และเชื่อมโยงและผสมผสานข้อมูลเชิงพื้นที่และข้อมูลเชิงบรรยาย ที่เก็บไว้ในฐานข้อมูล สามารถดัดแปลงแก้ไขและวิเคราะห์ และแสดงผลการวิเคราะห์และการนำเสนอข้อมูลเพื่อให้เห็นนิมิตและความสัมพันธ์ด้านพื้นที่ของข้อมูล ซึ่งมีส่วนช่วยให้เกิดความเข้าใจปัญหา และประกอบการตัดสินใจในปัญหาเกี่ยวกับการวางแผนการใช้ทรัพยากรเชิงพื้นที่
10. Federal Interagency Coordinating Committee (1988) : GIS เป็น ระบบของคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และวิธีการที่ออกแบบมาเพื่อการจัดเก็บ การรักษา การจัดทำ การวิเคราะห์ การทำแบบจำลอง และการแสดงข้อมูลเชิงพื้นที่ เพื่อนแก้ปัญหาการวางแผนที่ซับซ้อน และปัญหาในการจัดการ

ทำไม ? ต้อง GIS
เพราะชีวิตประจำวันของคนส่วนใหญ่ จะมีความเกี่ยวข้องกับภูมิศาสตร์ไม่มากก็น้อย การตัดสินใจใดๆ ก็ตามมักจะมีส่วนเกี่ยวข้องทางด้านภูมิศาสตร์เสมอ GIS สามารถช่วยในการจัดการและบริหารข้อมูลเชิงพื้นที่ พร้อมทั้งให้สามารถเข้าใจความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆในเชิงพื้นที่ได้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นรากฐานที่ดีในการตัดสินใจอย่างฉลาด ช่วยลดเวลาที่เสียไป นอกจากนี้ เทคโนโลยี GIS ยังมีข้อได้เปรียบมากในเรื่องการปรับปรุงแก้ไขข้อมูลเชิงพื้นที่ให้มีความทันสมัยได้ง่ายกว่า หรือความสามารถในการรวบรวมข้อมูลเชิงพื้นที่ประเภทต่างๆ และเก็บไว้ในชนิดเดียวกัน ความสามารถในการปรับข้อมูลเชิงพื้นที่ได้มีการเปลี่ยนแปลงและนำมาผลิตแผนที่

องค์ประกอบของ GIS
แบ่งออกได้เป็น 5 ระบบใหญ่ๆดังนี้
1. ฮาร์ดแวร์ (Hardware) คือ ตัวเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องต่างๆ เช่น ตัวเครื่องคอมพิวเตอร์,จอภาพ,สายไฟ เป็นต้น
2. ซอฟต์แวร์ (Software) คือ โปรแกรมหรือชุดคำสั่งที่สั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามที่เราต้องการเช่น MS-DOS,MS-WINDOWS, Word เป็นต้น
3. บุคลากร (Peopleware)คือ ผู้มีหน้าที่จัดการให้องค์ประกอบทั้ง 4 อย่าง ข้างต้น ทำงานประสานกันจนได้ผลลัพธ์ออกมา
4.วิธีการปฏิบัติงาน(Process) คือขั้นตอนการทำงานซึ่งเราเป็นผู้กำหนดให้เครื่องคอมพิวเตอร์จัดการกับข้อมูล เช่นกรอกข้อมูลทุกวันและทราบผลลัพธ์ทันทีเป็นต้น
5. ข้อมูล (Data) คือข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นและเป็นผลลัพธ์ออกมาเช่นชื่อ-สกุล ผู้ตอบแบบสอบถามเป็นต้น

แหล่งที่มา http://www.bangkokgis.com/modules.php?m=gis_foreveryone&gr=basic_gis&page=2

ระบบงานสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS)

ระบบงานสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS)

ความหมายของ GIS
GIS หรือ ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ Geographic Information System คือ กระบวนการทำงานเกี่ยวกับข้อมูลในเชิงพื้นที่ (spatial data) ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ โดยการกำหนดข้อมูลเชิงบรรยาย (attribute data) และสารสนเทศ เช่น ที่อยู่ บ้านเลขที่ ที่มีความสัมพันธ์
กับตำแหน่งในเชิงพื้นที่ เช่น ตำแหน่ง เส้นรุ้ง เส้นแวง ในรูปของ ตารางข้อมูล และ ฐานข้อมูล
ระบบ GIS ประกอบไปด้วยชุดของเครื่องมือที่มีความสามารถในการเก็บรวบรวม รักษาและการค้นข้อมูล เพื่อจัดเตรียม ปรับแต่ง วิเคราะห์และการแสดงผลข้อมูลเชิงพื้นที่ เพื่อให้สอดคล้องตามวัตถุประสงค์การใช้งาน ซึ่งรูปแบบและความสัมพันธ์ของข้อมูลเชิงพื้นที่ทั้งหลาย จะสามารถนำมา
วิเคราะห์ด้วย GIS ให้สื่อความหมายในเรื่องการเปลี่ยนแปลงที่สัมพันธ์กับช่วงเวลาได้ ใช้เป็นเช่น
การแพร่ขยายของโรคระบาด การเคลื่อนย้ายถิ่นฐาน การบุกรุกทำลาย
การเปลี่ยนแปลงของการใช้พื้นที่
ข้อมูลเหล่านี้ เมื่อปรากฏบนแผนที่ทำให้สามารถแปล สื่อความหมาย และนำไปใช้งานได้ง่ายข้อมูลใน GIS ทั้งข้อมูลเชิงพื้นที่และข้อมูลเชิงบรรยาย สามารถอ้างอิงถึงตำแหน่งที่มีอยู่จริงบนพื้นโลกได้โดยอาศัยระบบพิกัดทางภูมิศาสตร์ (geocode) ซึ่งจะสามารถอ้างอิงได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ข้อมูลใน GIS ที่อ้างอิงกับพื้นผิวโลกโดยตรง หมายถึง ข้อมูลที่มีค่าพิกัดหรือมีตำแหน่ง
จริงบนพื้นโลกหรือในแผนที่ เช่น ตำแหน่งอาคาร ถนน ฯลฯ สำหรับข้อมูล GIS ที่จะอ้างอิงกับข้อมูลบนพื้นโลกได้โดยทางอ้อมได้แก่ ข้อมูลของบ้าน (รวมถึงบ้านเลขที่ ซอย เขต แขวง จังหวัด และรหัสไปรษณีย์) โดยจากข้อมูลที่อยู่ เราสามารถทราบได้ว่าบ้านหลังนี้มีตำแหน่งอยู่ ณ ที่ใดบนพื้นโลก เนื่องจากบ้านทุกหลังจะมีที่อยู่ไม่ซ้ำกัน

แหล่งที่มาhttp://www.dld.go.th/region8/Web/GIS/manuGIS1.html

GIS คืออะไร?


GIS คืออะไร?
ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (Geographic Information System : GIS) หมายถึง ซอฟต์แวร์ทางด้านกราฟฟิกที่มีความสามารถ ในการเก็บ ข้อมูลด้านแผนที่หรือข้อมูลในลักษณะที่เป็นภาพต่างๆ เช่น ภาพดาวเทียม (Satellite images) ภาพถ่ายทางอากาศ (Arial photographs) เป็นต้น ซึ่งซอฟต์แวร์ดังกล่าว นี้สามารถนำ เข้าข้อมูลแผนที่หรือข้อมูลภาพต่างๆของพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง

ซึ่งข้อมูลแต่ล ะด้านจะ ถูกจัดเก็บไว้ใน โปรแกรมในลักษณะของข้อมูลเฉพาะเรื่อง (Layer) หรือการซ้อนทับข้อมูล (Overlays) หรือชั้นข้อมูล (Coverages) แล้วสามารถนำเอาข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์ประมวลผลร่วมกัน เพื่อหาคำตอบเกี่ยวกับข้อมูลในพื้นที่ (พิภพ อิศรางกูร ณ อยุธยา. 2540 อ้างตาม วีรวัฒน์ ธิติสวรรค์. 2544)

ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ หมายถึง กลุ่มของระบบสารสนเทศกลุ่มหนึ่ง ที่มีความแตกต่างจากระบบสารสนเทศอื่นๆ โดยที่องค์ประกอบที่เป็นปัจจัยสำคัญ ที่ชี้ให้เห็นความแตกต่างดังกล่าวคือข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กับการอ้างอิงต ำแหน่งบนโลกที่เรียกว่า ข้อมูลเชิงพื้นที่ (Spatial data) ฉะนั้นระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ จะเกี่ยวโยงกับการพัฒนาความรู้ในแขนงสาขาต่างๆที่เกี่ยวกับข้อมูลเชิงพื้นที ่ทั้งสิ้น ( นิวัติ มณีขัตย์. 2540 อ้างตาม วีรวัฒน์ ธิติสวรรค์. 2544)

ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ หรือระบบ GIS เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่ (Spatial data) โดยข้อมูลลักษณะต่างๆในพื้นที่ที่ทำการศึกษา จะถูกนำมาจัดให้อยู่ในรูปแบบที่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันและกัน ซึ่งจะขึ้นอยู่กับชนิดและรายละเอียดของข้อมูลนั้นๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดตามต้องการ ( สุเพชร จิรขจรกุล. 2544)

ฉะนั้นแล้วสรุปได้ว่า ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ หรือ Geographic Information System : GIS คือกระบวนการทำงานเกี่ยวกับข้อมูลในเชิงพื้นที่ด้วย ระบบคอมพิวเตอร์ ที่ใช้กำหนดข้อมูลและสารสนเทศ ที่มีความสัมพันธ์กับตำแหน่งในเชิงพื้นที่ หรือจะกล่าวอย่างง่ายๆก็ได้ว่าเป็นการจัดการฐานข้อมูลเชิงพื้นที่ เช่น ที่อยู่ บ้านเลขที่ สัมพันธ์กับตำแหน่งในแผนที่ ตำแหน่ง เส้นรุ้ง เส้นแวง ข้อมูลและแผนที่ใน GIS เป็นระบบข้อมูลสารสนเทศที่อยู่ในรูปของ ตารางข้อมูล และ ฐานข้อมูลที่มีส่วนสัมพันธ์กับข้อมูลเชิงพื้นที่ (Spatial Data) ซึ่งรูปแบบและความสัมพันธ์ของข้อมูลเชิงพื้นที่ทั้งหลาย จะสามารถนำมาวิเคราะห์ด้วย GIS และทำให้ สื่อความหมายในเรื่องการเปลี่ยนแปลงที่สัมพันธ์กับช่วงเวลาได้ ใช้เป็นชุดของเครื่องมือที่มีความสามารถในการเก็บรวบรวมข้อมูล รักษาข้อมูลและการค้นคืนข้อมูล เพื่อจัดเตรียมและปรับแต่งข้อมูล เพื่อใช้ในการวิเคราะห์และการแสดงผลข้อมูลเชิงพื้นที่ เพื่อให้สอดคล้องตามวัตถุประสงค์การใช้งาน เช่น การแพร่ขยายของโรคระบาด การเคลื่อนย้ายถิ่นฐาน การบุกรุกทำลาย การเปลี่ยนแปลงของการใช้พื้นที่ ฯลฯ ข้อมูลเหล่านี้ เมื่อปรากฏบนแผนที่ทำให้สามารถแปลและสื่อความหมาย นำไปใช้งานได้ง่าย

GIS เป็นระบบข้อมูลข่าวสารที่เก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ แต่สามารถแปลความหมายเชื่อมโยงกับสภาพภูมิศาสตร์อื่นๆ สภาพท้องที่ สภาพการทำงานของ ระบบสัมพันธ์กับสัดส่วนระยะทางและพื้นที่จริงบนแผนที่ ข้อแตกต่างระหว่าง GIS กับ MIS นั้นสามารถพิจารณาได้จากลักษณะของข้อมูล คือ ข้อมูลที่จัดเก็บใน GIS มีลักษณะเป็นข้อมูลเชิงพื้นที่ (Spatial Data) ที่แสดงในรูปของภาพ (graphic) แผนที่ (map) ที่เชื่อมโยงกับข้อมูลเชิงบรรยาย (Attribute Data) หรือฐานข้อมูล (Database) การเชื่อมโยงข้อมูลทั้งสองประเภทเข้าด้วยกัน จะทำให้ผู้ใช้สามารถที่จะแสดงข้อมูลทั้งสองประเภทได้พร้อมๆ กัน เช่นสามารถจะค้นหาตำแหน่งของ จุดตรวจวัดควันดำ – ควันขาวได้โดยการระบุชื่อจุดตรวจ หรือในทางตรงกันข้าม สามารถที่จะสอบถามรายละเอียดของ จุดตรวจจากตำแหน่งที่เลือกขึ้นมา

ซึ่งจะ ต่างจาก MIS ที่แสดง ภาพเพียงอย่างเดียว โดยจะขาดการเชื่อมโยงกับฐานข้อมูลที่เชื่อมโยงกับรูปภาพนั้น เช่นใน CAD (Computer Aid Design) จะเป็นภาพ เพียงอย่างเดียวแต่ แผนที่ใน GIS จะมีความสัมพันธ์กับตำแหน่งในเชิงพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ คือค่าพิกัดที่แน่นอน ข้อมูลใน GIS ทั้งข้อมูลเชิงพื้นที่และข้อมูล เชิงบรรยาย สามารถอ้างอิงถึงตำแหน่งที่มีอยู่จริงบนพื้นโลกได้โดยอาศัยระบบพิกัดทางภูมิ ศาสตร์ (Geocode) ซึ่งจะสามารถอ้างอิงได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ข้อมูลใน GIS ที่อ้างอิงกับพื้นผิวโลกโดยตรง หมายถึง ข้อมูลที่มีค่าพิกัดหรือมีตำแหน่งจริงบนพื้นโลกหรือในแผนที่ เช่น ตำแหน่งอาคาร ถนน ฯลฯ

สำหรับข้อมูล GIS ที่จะอ้างอิงกับข้อมูลบนพื้นโลกได้โดยทางอ้อมได้แก่ ข้อมูลของบ้าน ( รวมถึงบ้านเลขที่ ซอย เขต แขวง จังหวัด และรหัสไปรษณีย์ ) โดยจากข้อมูลที่อยู่ เราสามารถทราบได้ว่าบ้านหลังนี้มีตำแหน่งอยู่ ณ ที่ใดบนพื้นโลก เนื่องจากบ้านทุกหลังจะมีที่อยู่ไม่ซ้ำกัน

--------------------------------------------------------------------------------

องค์ประกอบของ GIS ( Components of GIS )
องค์ประกอบหลักของระบบ GIS จัดแบ่งออกเป็น 5 ส่วนใหญ่ ๆ คือ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (Hardware) โปรแกรม (Software) ขั้นตอนการทำงาน (Methods) ข้อมูล (Data) และบุคลากร (People) โดยมีรายละเอียดของแต่ละองค์ประกอบดังต่อไปนี้



รูปที่ 1 องค์ประกอบระบสารสนเทศภูมิศาสตร์ GIS
ที่มา http://www.gisthai.org/

1. อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ คือ เครื่องคอมพิวเตอร์รวมไปถึงอุปกรณ์ต่อพ่วงต่าง ๆ เช่น Digitizer, Scanner, Plotter, Printer หรืออื่น ๆ เพื่อใช้ในการนำเข้าข้อมูล ประมวลผล แสดงผล และผลิตผลลัพธ์ของการทำงาน
2. โปรแกรม คือชุดของคำสั่งสำเร็จรูป เช่น โปรแกรม Arc/Info, MapInfo ฯลฯ ซึ่งประกอบด้วยฟังก์ชั่น การทำงานและเครื่องมือที่จำเป็นต่าง ๆ สำหรับนำเข้าและปรับแต่งข้อมูล , จัดการระบบฐานข้อมูล , เรียกค้น , วิเคราะห์ และ จำลองภาพ
3. ข้อมูล คือข้อมูลต่าง ๆ ที่จะใช้ในระบบ GIS และถูกจัดเก็บในรูปแบบของฐานข้อมูลโดยได้รับการดูแล จากระบบจัดการฐานข้อมูลหรือ DBMS ข้อมูลจะเป็นองค์ประกอบที่สำคัญรองลงมาจากบุคลากร
4. บุคลากร คือ ผู้ปฏิบัติงานซึ่งเกี่ยวข้องกับระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ เช่น ผู้นำเข้าข้อมูล ช่างเทคนิค ผู้ดูแลระบบฐานข้อมูล ผู้เชี่ยวชาญสำหรับวิเคราะห์ข้อมูล ผู้บริหารซึ่งต้องใช้ข้อมูลในการตัดสินใจ บุคลากรจะเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดในระบบ GIS เนื่องจากถ้าขาดบุคลากร ข้อมูลที่มีอยู่มากมายมหาศาลนั้น ก็จะเป็นเพียงขยะไม่มีคุณค่าใดเลยเพราะไม่ได้ถูกนำไปใช้งาน อาจจะกล่าวได้ว่า ถ้าขาดบุคลากรก็จะไม่มีระบบ GIS
5. วิธีการหรือขั้นตอนการทำงาน คือวิธีการที่องค์กรนั้น ๆ นำเอาระบบ GIS ไปใช้งานโดยแต่ละ ระบบแต่ละองค์กรย่อมีความแตกต่างกันออกไป ฉะนั้นผู้ปฏิบัติงานต้องเลือกวิธีการในการจัดการกับปัญหาที่เหมาะสมที่สุดสำ หรับของหน่วยงานนั้น ๆ เอง

--------------------------------------------------------------------------------

หน้าที่ของ GIS ( How GIS Works )
ภาระหน้าที่หลัก ๆ ของระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์มีอยู่ด้วยกัน 5 อย่างดังนี้
1. การนำเข้าข้อมูล (Input) ก่อนที่ข้อมูลทางภูมิศาสตร์จะถูกใช้งานได้ในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ ข้อมูลจะต้องได้รับการแปลง ให้มาอยู่ในรูปแบบของข้อมูล เชิงตัวเลข (digital format) เสียก่อน เช่น จากแผนที่กระดาษไปสู่ข้อมูลใน รูปแบบดิจิตอลหรือแฟ้มข้อมูลบนเครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์ที่ใช้ในการนำเข้าเ ช่น Digitizer Scanner หรือ Keyboard เป็นต้น
2. การปรับแต่งข้อมูล (Manipulation) ข้อมูลที่ได้รับเข้าสู่ระบบบางอย่างจำเป็นต้องได้รับการปรับแต่งให้เหมาะสมก ับงาน เช่น ข้อมูลบางอย่างมีขนาด หรือสเกล (scale) ที่แตกต่างกัน หรือใช้ระบบพิกัดแผนที่ที่แตกต่างกัน ข้อมูลเหล่านี้จะต้องได้รับการปรับให้อยู่ใน ระดับเดียวกันเสียก่อน
3. การบริหารข้อมูล (Management) ระบบจัดการฐานข้อมูลหรือ DBMS จะถูกนำมาใช้ในการบริหารข้อมูลเพื่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพในระบบ GIS DBMS ที่ได้รับการเชื่อถือและนิยมใช้กันอย่างกว้างขวางที่สุดคือ DBMS แบบ Relational หรือระบบจัดการฐานข้อมูลแบบสัมพัทธ์ (DBMS) ซึ่งมีหลักการทำงานพื้นฐาน ดังนี้คือ ข้อมูลจะถูกจัดเก็บ ในรูปของตารางหลาย ๆ ตาราง
4. การเรียกค้นและวิเคราะห์ข้อมูล (Query and Analysis) เมื่อระบบ GIS มีความพร้อมในเรื่องของข้อมูลแล้ว ขั้นตอนต่อไป คือ การนำข้อมูลเหล่านี่มาใช้ให้เกิด ประโยชน์ เช่น ใครคือเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินผืนที่ติดกับโรงเรียน ? เมืองสองเมืองนี้มีระยะห่างกันกี่กิโลเมตร ? ดินชนิดใดบ้างที่เหมาะสำหรับปลูกอ้อย ? หรือ ต้องมีการสอบถามอย่างง่าย ๆ เช่น ชี้เมาส์ไปในบริเวณที่ต้องการแล้วเลือก (point and click) เพื่อสอบถามหรือเรียกค้นข้อมูล นอกจากนี้ระบบ GIS ยังมีเครื่องมือในการวิเคราะห์ เช่น การวิเคราะห์เชิงประมาณค่า (Proximity หรือ Buffer) การวิเคราะห์เชิงซ้อน (Overlay Analysis) เป็นต้น หรือ ต้องมีการสอบถามอย่างง่าย ๆ เช่น ชี้เมาส์ไปในบริเวณที่ต้องการแล้วเลือก (point and click) เพื่อสอบถามหรือเรียกค้นข้อมูล นอกจากนี้ระบบ GIS ยังมีเครื่องมือในการวิเคราะห์ เช่น การวิเคราะห์เชิงประมาณค่า (Proximity หรือ Buffer) การวิเคราะห์เชิงซ้อน (Overlay Analysis) เป็นต้น
5. การนำเสนอข้อมูล (Visualization) จากการดำเนินการเรียกค้นและวิเคราะห์ข้อมูล ผลลัพธ์ที่ได้จะอยู่ในรูปของตัวเลขหรือตัวอักษร ซึ่งยากต่อการตีความหมาย หรือทำความเข้าใจ การนำเสนอข้อมูลที่ดี เช่น การแสดงชาร์ต (chart) แบบ 2 มิติ หรือ 3 มิติ รูปภาพจากสถานที่จริง ภาพเคลื่อนไหว แผนที่ หรือแม้กระทั้งระบบ มัลติมีเดียสื่อต่าง ๆ เหล่านี้จะทำให้ผู้ใช้เข้าใจความหมายและมองภาพของผลลัพธ์ที่กำลังนำเสนอได้ด ียิ่งขึ้นอีก

ลักษณะข้อมูลในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์
โลกมีความสลับซับซ้อนมากเกินกว่าที่จะเก็บข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับโลกไว้ในรู ปข้อมูลด้วยระบบคอมพิวเตอร์ จึงต้องเปลี่ยนปรากฏการณ์บน ผิวโลกจัดเก็บในรูปของตัวเลขเชิงรหัส (digital form) โดยแทนปรากฏการณ์เหล่านั้นด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่เรียกว่า Feature

ประเภทของ Feature
ลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่เป็นตัวแทนของปรากฏการณ์ทางภูมิศาสตร์บนโลกแผนที่กระ ดาษบันทึกตำแหน่งทางภูมิศาสตร์และแทนสิ่งต่างๆ บนโลกที่เป็นลายเส้นและพื้นที่ด้วยสัญลักษณ์แบบ จุด เส้น พื้นที่และตัวอักษร ในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์จะใช้ feature ประเภทต่างๆ ในการแทนปรากฏการณ์โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
จุด (Point)
เส้น (Arc)
พื้นที่ (Polygon)

เทคนิคและวิธีการนำเข้าข้อมูล
การนำเข้าข้อมูล (Input data) เป็นกระบวนการบันทึกข้อมูลเข้าสู่คอมพิวเตอร์ การสร้างฐานข้อมูลที่ละเอียด ถูกต้อง เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการปฏิบัติงานด้วย ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ซึ่งจำเป็นต้องมีการประเมินคุณภาพข้อมูล ที่จะนำเข้าสู่ระบบในเรื่องแหล่งที่มาของข้อมูล วิธีการสำรวจข้อมูลมาตราส่วนของแผนที่ ความถูกต้อง ความละเอียด พื้นที่ที่ข้อมูลครอบคลุมถึงและปีที่จัดทำข้อมูล เพื่อประเมินคุณภาพ และคักเลือกข้อมูลที่จะนำเข้าสู่ระบบฐานข้อมูล

การนำเข้าข้อมูลเชิงพื้นที่
สำหรับขั้นตอนการนำเข้าข้อมูลเชิงพื้นที่อายทำได้หลายวิธี แต่ที่นิยมทำกันในปัจจุบันได้แก่ การดิจิไทซ์ (Digitize) และการกวาดตรวจ (Scan) ซึ่งทั้ง 2 วิธีต่างก็มีข้อดี และข้อด้อยต่างกันไปกล่าวคือการนำเข้าข้อมูลโดยวิธีกวาดตรวจจะมีความรวดเร็ว และ ถูกต้องมากกว่าวิธีการเข้าข้อมูลแผนที่โดยโต๊ะดิจิไทซ์และ เหมาะสำหรับงานที่มีปริมาณมาก แต่การนำเข้าข้อมูลโดยการดิจิไทซ์จะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายน้อยกว่าและเหมาะสำ หรับงานที่มีปริมาณน้อย การใช้เครื่องอ่านพิกัด (Digitizer) เป็นการแปลงข้อมูลเข้าสู่ระบบโดยนำแผนที่มาตรึงบนโต๊ะ และกำหนดจุดอ้างอิง (control point) อย่างน้อยจำนวน 4 จุด แล้วนำตัวชี้ตำแหน่ง (Cursor) ลากไปตามเส้นของรายละเอียดบนแผนที่ การใช้เครื่องกวาดภาพ (Scanner) เป็นเครื่องมือที่วัดความเข้มของแสงที่สะท้อนจากลายเส้นบนแผนที่ ผลลัพธ์เป็นข้อมูล ในรูปแบบแรสเตอร์ (raster format) ซึ่งเก็บข้อมูลในรูปของตารางกริดสี่เหลี่ยม (pixel) ค่าความคมชัดหรือความละเอียดมีหน่วยวัดเป็น DPI : dot per inch แล้วทำการแปลงข้อมูลแรสเตอร์ เป็นข้อมูลเวกเตอร์ ที่เรียกว่า Raster to Vecter conversion ด้วยโปรแกรม GEOVEC for Microstation หรือ R2V

การนำเข้าข้อมูลเชิงบรรยาย
ข้อมูลเชิงบรรยายที่จำแนกและจัดหมวดหมู่แล้ว นำเข้าสู่ระบบฐานข้อมูลด้วยแป้นพิมพ์ (Keyboard) สำหรับโปรแกรม PC ARC/Info จะจัดเก็บข้อมูลในรูปแบบ ของ dBASE ด้วยคำสั่ง Tables ส่วนโปรแกรมจัดการฐานข้อมูลแบบ Relational data base ทั่วๆ ไปบนเครื่อง PC เช่น Foxpro, Access หรือ Excel จำเป็นต้อง แปลงข้อมูลให้เข้าอยู่ในรูปของ DBF file ก่อนการนำเข้าสู่ PC ARC/Info


รูปที่ 2 กระบวนการทำงานของระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์
ที่มา http://ipcu.moph.go.th/knowhow/myth_gis.html

--------------------------------------------------------------------------------

GISกับการประยุกต์ใช้งาน
ช ่วงเวลาที่ผ่านมา ผมได้รับให้คำปรึกษาแก่หลายหน่วยงาน ทั้งที่เป็นราชการ หรือรัฐวิสาหกิจ ซึ่งผมก็ได้ใช้เทคนิควิธีการทาง gis ทำการวิเคราะห์ ก็รู้สึกว่า ตัวเองมีค่าขึ้น ลองคิดดูว่า เมื่อ 25 ปีก่อนผมก็คือเด็กต่างจังหวัดคนหนึ่ง ที่ไม่มีแก่นสารในชีวิต แต่ปัจจุบันผมก็ได้ค้นหา ความต้องการของชีวิตได้แล้วคือ การอยู่อย่างมีคุณค่า ใครจะว่า อะไร ผมไม่สนใจแล้วครับ ขอให้ใจของผมรู้ว่า ผมทำอะไรอยู่เป็นพอ อารัมภบทพอหอมปากหอมคอมาเริ่มเข้าเนื้อหาเลยดีกว่านะครับ

ด้านการสาธารณสุข หลายท่านก็คงนึกว่า มันไปเกี่ยวอะไรกัน ก็ต้องตอบว่า โรคร้ายหลายๆโรคเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาวะสิ่งแวดล้อมนั้นคือ ภูมิประเทศเปลี่ยน นิเวศวิทยาเปลี่ยน ก็ทำให้พาหะนำโรค จากที่เคยอยู่แบบสมดุลย์ธรรมชาติ ก็เริ่มออกอาละวาดลงมาสู่บ้านเรือนคน และทำให้ ผมมาเจอกับคุณหมอท่านหนึ่ง ที่ท่านทำการ วิจัย เกี่ยวกับ โรคฉี่หนู ที่เป็นโรคของชาวบ้าน เพราะโรคนี้เกิดกับ ชาวบ้านที่ทำนา เป็นหลัก และโรคนี้เองทำให้ผู้คนตายไปเป็นจำนวนหลักพันคน และทางคุณหมอก็ บอกว่า พาหะก็คือ หนู หนูมีมากเกินไปไม่ได้ถูกกำจัดโดยศัตรูทางธรรมชาติทำให้มากินพืชไร่ของคน และเชื้อโรคที่ทำให้เกิดโรค ที่มากับหนูนี้ จะอยู่ได้บริเวณพื้นที่ที่มี การระบายน้ำเลว และมีค่าความเป็นกรดเป็นด่างของดิน อยู่ระดับ 6-7 ผมกับคุณหมอก็เริ่มทำการวิจัยโดยใช้ จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นพื้นที่ทำการศึกษา เพราะแค่จังหวัดนี้มี คนตายเพราะโรคนี้ เกือบ สองพันคน ผลการวิจัยทาง gis ก็สรุปว่า ปัจจัยหลักคือการระบายน้ำ พื้นที่ไหน มีการระบายน้ำไม่ดีจะมีโอกาสในการเกิดโรคสูง ซึ่งผลการวิจัย ก็น่าจะขยายผลไปทั้ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อเราจะได้รู้ถึงบริเวณที่มีความเสี่ยง จะได้หาทางป้องกันก่อน เพราะหลักของสาธารณสุข คือการป้องกันไม่ให้เกิดโรคขึ้น ไม่ใช่การรักษาโรค เรื่องนี้ผมก็รู้สึกดีครับ เพราะต้นตระกูลผมก็เป็นชาวนา อย่างน้อยผมก็ได้ตอบแทน บรรพบุรุษผมบ้าง และต้องยกความดีให้คุณหมอท่านที่ท่านมีจิตใจ ที่หมอจริงๆ เพราะท่านทำเรื่อง ที่เป็น โรคของคนด้อยโอกาสในสังคม ทั้งๆที่ท่านมีโอกาสที่จะทำอะไร ที่ก่อให้เกิดรายได้ แต่ท่านก็เลือก ที่จะทำเรื่องที่เป็นประโยชน์ มากกว่า

ด้านการโทรคมนาคม เรื่องนี้เป็นการวางเครือข่ายการสื่อสาร ก็มีเจ้าหน้าที่ขององค์การโทรศัพท์ มาหาผมเขาอยากได้ข้อมูลความสูงภูมิประเทศประกอบกับแผนที่ใน ลักษณะตัวเลข เพื่อทำการวิเคราะห์ ว่าจุดไหนอับสัญญาน บ้าง โดยทางเขาก็ได้พัฒนาโปรแกรมด้านนี้มาแล้ว แต่ข้อมูลความสูงภูมิประเทศ เขาต้องอ่านจากแผนที่ ทำให้ ลำบากและช้าไม่ทันการ จึงอยากจะได้ข้อมูลความสูงภูมิประเทศแบบที่เป็นตัวเลข เพื่อจะได้ข้อมูลและเชื่อมต่อกับระบบของเขาได้ทันที

งานนี้ผมฟังแล้ว สบายมากครับ เพราะระบบแผนที่ทางการทหาร ที่ผมวิจัยมี function ด้านนี้อยู่แล้ว และงานนี้ถ้าตกลงกันได้ ผมจะได้รับการสนับสนุนเครื่องไม้เครื่องมือ จากองค์การโทรศัพท์ เรื่องนี้ก็ เป็นเรื่องดีที่เป็นการพัฒนาที่ใช้บุคลากร ในหน่วยงาน ทำให้ลดค่าใช้จ่ายที่จะสูญเสียไปถ้าต้องจ้างเอกชนเป็นผู้จัดทำด้านโบราณคดี เรื่องนี้เป็นวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาปริญญาโท โบราณคดี ที่จะหาว่าบริเวณเป็นที่ตั้งของแหล่งโบราณคดี มีปัจจัยอะไรบ้าง โดยใช้บริเวณ จังหวัดนครสวรรค์ และลพบุรี เป็นบริเวณที่ศึกษา ผลการศึกษาก็ต้องใช้เทคนิควิธีการทาง gis ที่เลือกว่า การ overlay analysis โดยใช้ปัจจัย ดิน แหล่งน้ำ และลักษณะภูมิประเทศ ผลการวิจัย ก็ได้คำตอบว่า ปัจจัยการตั้งถิ่นฐานก็คือ แหล่งน้ำ, ดินที่แสดงว่าเป็นแหล่งน้ำโบราณหรือ ลานตะพัก และ ต้องใกล้บริเวณภูเขาเพื่อจะได้ทำการหลบภัย

แหล่งที่มา http://www.thaigoogleearth.com/index.php?option=com_content&task=view&id=75

GIS คืออะไร

GIS คืออะไร

ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (Geographic Information System : GIS) หมายถึงซอฟต์แวร์ทางด้านกราฟฟิกที่มีความสามารถในการเก็บ ข้อมูลด้านแผนที่หรือข้อมูลในลักษณะที่เป็นภาพต่างๆเช่น ภาพดาวเทียม (Satellite images) ภาพถ่ายทางอากาศ (Arial photographs) เป็นต้น ซึ่งซอฟต์แวร์ดังกล่าวนี้สามรถนำเข้าข้อมูลแผนที่หรือข้อมูล ภาพต่างๆของพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง

ซึ่งข้อมูลแต่ล ะด้านจะ ถูกจัดเก็บไว้ใน โปรแกรมในลักษณะของข้อมูลเฉพาะเรื่อง (Layer) หรือการซ้อนทับข้อมูล (Overlays) หรือชั้นข้อมูล (Coverages) แล้วสามารถนำเอาข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์ประมวลผลร่วมกัน เพื่อหาคำตอบเกี่ยวกับข้อมูลในพื้นที่ (พิภพ อิศรางกูร ณ อยุธยา. 2540 อ้างตาม วีรวัฒน์ ธิติสวรรค์. 2544)

ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ หมายถึง กลุ่มของระบบสารสนเทศกลุ่มหนึ่ง ที่มีความแตกต่างจากระบบสารสนเทศอื่นๆ โดยที่องค์ประกอบที่เป็นปัจจัยสำคัญที่ชี้ให้เห็นความแตกต่างดังกล่าวคือข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กับการอ้างอิงตำแหน่งบนโลกที่เรียกว่า ข้อมูลเชิงพื้นที่(Spatialdata)ฉะนั้นระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์จะเกี่ยวโยงกับการพัฒนาความรู้ในแขนงสาขาต่างๆที่เกี่ยวกับข้อมูลเชิงพื้นที ่ทั้งสิ้น ( นิวัติ มณีขัตย์. 2540 อ้างตาม วีรวัฒน์ ธิติสวรรค์. 2544)

ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ หรือระบบ GIS เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่ (Spatial data) โดยข้อมูลลักษณะต่างๆในพื้นที่ที่ทำการศึกษา จะถูกนำมาจัดให้อยู่ในรูปแบบที่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันและกัน ซึ่งจะขึ้นอยู่กับชนิดและรายละเอียดของข้อมูลนั้นๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดตามต้องการ ( สุเพชร จิรขจรกุล. 2544)

ฉะนั้นแล้วสรุปได้ว่า ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ หรือ Geographic Information System : GIS คือกระบวนการทำงานเกี่ยวกับข้อมูลในเชิงพื้นที่ด้วย ระบบคอมพิวเตอร์ ที่ใช้กำหนดข้อมูลและสารสนเทศ ที่มีความสัมพันธ์กับตำแหน่งในเชิงพื้นที่ หรือจะกล่าวอย่างง่ายๆก็ได้ว่าเป็นการจัดการฐานข้อมูลเชิงพื้นที่ เช่น ที่อยู่ บ้านเลขที่ สัมพันธ์กับตำแหน่งในแผนที่ ตำแหน่ง เส้นรุ้ง เส้นแวง ข้อมูลและแผนที่ใน GIS เป็นระบบข้อมูลสารสนเทศที่อยู่ในรูปของ ตารางข้อมูล และ ฐานข้อมูลที่มีส่วนสัมพันธ์กับข้อมูลเชิงพื้นที่ (Spatial Data) ซึ่งรูปแบบและความสัมพันธ์ของข้อมูลเชิงพื้นที่ทั้งหลาย จะสามารถนำมาวิเคราะห์ด้วย GIS และทำให้ สื่อความหมายในเรื่องการเปลี่ยนแปลงที่สัมพันธ์กับช่วงเวลาได้ ใช้เป็นชุดของเครื่องมือที่มีความสามารถในการเก็บรวบรวมข้อมูล รักษาข้อมูลและการค้นคืนข้อมูล เพื่อจัดเตรียมและปรับแต่งข้อมูล เพื่อใช้ในการวิเคราะห์และการแสดงผลข้อมูลเชิงพื้นที่ เพื่อให้สอดคล้องตามวัตถุประสงค์การใช้งาน เช่น การแพร่ขยายของโรคระบาด การเคลื่อนย้ายถิ่นฐาน การบุกรุกทำลาย การเปลี่ยนแปลงของการใช้พื้นที่ ฯลฯ ข้อมูลเหล่านี้ เมื่อปรากฏบนแผนที่ทำให้สามารถแปลและสื่อความหมาย นำไปใช้งานได้ง่าย

GIS เป็นระบบข้อมูลข่าวสารที่เก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ แต่สามารถแปลความหมายเชื่อมโยงกับสภาพภูมิศาสตร์อื่นๆ สภาพท้องที่ สภาพการทำงานของ ระบบสัมพันธ์กับสัดส่วนระยะทางและพื้นที่จริงบนแผนที่ ข้อแตกต่างระหว่าง GIS กับ MIS นั้นสามารถพิจารณาได้จากลักษณะของข้อมูล คือ ข้อมูลที่จัดเก็บใน GIS มีลักษณะเป็นข้อมูลเชิงพื้นที่ (Spatial Data) ที่แสดงในรูปของภาพ (graphic) แผนที่ (map) ที่เชื่อมโยงกับข้อมูลเชิงบรรยาย (Attribute Data) หรือฐานข้อมูล (Database) การเชื่อมโยงข้อมูลทั้งสองประเภทเข้าด้วยกัน จะทำให้ผู้ใช้สามารถที่จะแสดงข้อมูลทั้งสองประเภทได้พร้อมๆ กัน เช่นสามารถจะค้นหาตำแหน่งของ จุดตรวจวัดควันดำ – ควันขาวได้โดยการระบุชื่อจุดตรวจ หรือในทางตรงกันข้าม สามารถที่จะสอบถามรายละเอียดของ จุดตรวจจากตำแหน่งที่เลือกขึ้นมา

ซึ่งจะ ต่างจาก MIS ที่แสดง ภาพเพียงอย่างเดียว โดยจะขาดการเชื่อมโยงกับฐานข้อมูลที่เชื่อมโยงกับรูปภาพนั้น เช่นใน CAD (Computer Aid Design) จะเป็นภาพ เพียงอย่างเดียวแต่ แผนที่ใน GIS จะมีความสัมพันธ์กับตำแหน่งในเชิงพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ คือค่าพิกัดที่แน่นอน ข้อมูลใน GIS ทั้งข้อมูลเชิงพื้นที่และข้อมูล เชิงบรรยาย สามารถอ้างอิงถึงตำแหน่งที่มีอยู่จริงบนพื้นโลกได้โดยอาศัยระบบพิกัดทางภูมิ ศาสตร์ (Geocode) ซึ่งจะสามารถอ้างอิงได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ข้อมูลใน GIS ที่อ้างอิงกับพื้นผิวโลกโดยตรง หมายถึง ข้อมูลที่มีค่าพิกัดหรือมีตำแหน่งจริงบนพื้นโลกหรือในแผนที่ เช่น ตำแหน่งอาคาร ถนน ฯลฯ

สำหรับข้อมูล GIS ที่จะอ้างอิงกับข้อมูลบนพื้นโลกได้โดยทางอ้อมได้แก่ ข้อมูลของบ้าน ( รวมถึงบ้านเลขที่ ซอย เขต แขวง จังหวัด และรหัสไปรษณีย์ ) โดยจากข้อมูลที่อยู่ เราสามารถทราบได้ว่าบ้านหลังนี้มีตำแหน่งอยู่ ณ ที่ใดบนพื้นโลก เนื่องจากบ้านทุกหลังจะมีที่อยู่ไม่ซ้ำกัน

แหล่งที่มา http://202.28.94.55/web/322103/2551/work1/g5/GIS1.htm

สมาชิกกลุ่ม (รุ่นที่ 23)

สมาชิกกลุ่ม (รุ่นที่ 23)
นายมณฑา แสวงผล รหัสนักศึกษา 51423437261
ส.ท.กรีฑา แบงเพชร รหัสนักศึกษา 51423437290
ส.ท.หญิง ตะวัน อุทัยอ้ม รหัสนักศึกษา 51423437293
ส.อ.ประเยาว์ ผลพูน รหัสนักศึกษา 51423437297
จ.ส.อ.ปรีชา เหยือกเงิน รหัสนักศึกษา 51423437299
ส.อ.วิมล เคารพ รหัสนักศึกษา 51423437308
จ.ส.อ.หญิง วิไล เรืองเดช รหัสนักศึกษา 51423437309
น.ส.ศิริพร นามปาน รหัสนักศึกษา 51423437314
ส.อ.ศุภณัฐ ทันยะกรณ์ รหัสนักศึกษา 51423437315
ส.อ.หญิง แสงเดือน ศิริสวัสดิ์ รหัสนักศึกษา 51423437321
น.ส.สุธาทิพย์ อินทร์ดอน รหัสนักศึกษา 51423437326
ส.อ.พงษ์สุทัศน์ รักซ้อน รหัสนักศึกษา 51423437302